หนูนากับพังพอน           

       

              ภูมิประเทศ,ยุคสมัยที่แตกต่าง  กาลเวลาที่เนิ่นนาน หนูนากับพังพอนเคยยกกำลังเข้าปะทะกัน เหมือนกับที่อยากจะเล่าให้ฟังว่าเมื่อปีโน้น ..อาจจะเมื่อปีมะโว้โน้น พืชบางอย่างพอผสมเข้ากันที่สัดส่วนดีๆ  ดมเข้าไปตัวก็เบาเท่ากับลม คนและสัตว์ก็เหาะได้ แต่มันก็ไม่ยอมอยู่ให้จีรังมาจนวันนี้  เท่าที่เหลืออยู่ก็แค่ประเภทผสมมาแก้โรคร้ายแรงบางโรค ชนิดที่คนโบราณนึกไงก็นึกไม่ถึง 

           มานี่เลย....ณท้องทุ่งเมืองอะไรก็ไม่แจ้ง  หนูนากับพังพอนที่ทำศึกกันมาแต่บรรพกาล ซึ่งกระบวนหนูนาก็แพ้ซะทุกครั้งหากไพร่พลก้ำกึ่งกัน   ด้วยฟ้าจงใจให้คงมีสงครามไว้คู่โลก...ในยุคนั้นนะ   คงคล้ายยุคนี้ที่งูเห่าหันมารับบทนี้แทนหนูนาไปเรียบร้อยแล้ว...หนูเกิดมาแล้วแมวกินหมด...   

น่าสงสารเผ่าหนูนาหุ่นจ้ำม่ำ นอกจากผลิตประชากรให้มากเข้าไว้ไม่งั้นก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้เขา    แล้วฟ้าก็ไม่ไร้น้ำใจ    อัจฉริยะแห่งหนูจึงได้ถือกำเหนิดขึ้นในตระกูลขุนนางสูงศักดิ์  และจากการอบรมเลี้ยงดูที่ดีเลิศ  สิบแปดปีผ่านพ้นไปหนูหนุ่มอัจฉริยะได้รับแต่งตั้งเป็นเสธ.กองทัพหนู   "เราไม่ชนะศึกตลอดมา" ..สำนวนแบบเสธ.ๆ  "นั่นเพราะระบบเผด็จการวันแมนโชว์  ข้าพเจ้าขอเสนอให้กองทัพมีแม่ทัพมากๆเข้าไว้เอาว่าจำนวนเท่าๆกับพลทหารเลย   แม่ทัพย่อมมีฝีมือสูงส่งกว่าไพร่พลทหาร"  โอ้โหกันใหญ่เลย  ทีนี้ประดาหนูนาขึ้นวอทั้งหลายก็เสนอขอติดตราประดับชุดขุนศึกกันใหญ่โต  แม้หนวดเต่าเขากระทิงก็ขนมาสวมใส่ออกศึก   พอออกรบอีงวดนี้เป็นเรื่องเลย   คือว่าเหมือนเดิมแหละทั้งรูปร่างและแรงปะทะสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว  พอแพ้หนนี้พวกทหารจ้อยทั้งหลายก็วิ่งมุดลงรู ส่วนพวกนายกองมุดไม่ลงรู  คือมันเกะกะกีดขวางไปหมดแล้วจะไปเหลืออะไร กรรมของหนูค่ะ

                            

               นิทานเรื่องนี้สอนให้เกือบรู้ว่า  ผู้หลงไหลในอำนาจยศศักดิ์ยึดติดอยู่กับหัวโขนที่สวมใส่อยู่

                                   นั่นแหละเป็นหนทางแห่งความวิบัติ   ...หนูเกิดมาแล้วคนกินหมด...