ราชสีห์กับหนู
เลยยอดข้าวโพดอ่อนออกไปโน่น สุดปลายไร่ที่ติดกับทุ่งหญ้าเขียวสดใส ยามบ่ายแดดเปรี้ยงแต่ก็ยังพอมีลม
อ่อนโชยเฉื่อยอยู่บ้าง ซึ่งอาการนี้ไม่ว่าคนหรือแมวก็เหอะ พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนไปตามธรรมเนียม ที่นั่น
ราชสีห์หนุ่มก็ยังรู้สึกอ่อนปวกเปียกจนเผลอหลับสนิทขนาดว่าหนูนาตัวจ้อยมาหลบงีบอยู่ซอกจั้กแร้ยังไม่ได้รู้เรื่องเลย
ส่วนเจ้าหนูน้อยก็กระไรช่างไร้เดียงสาหลับๆตื่นๆพลิกตัวไปมามิสำคัญว่ามหาภัย พอเสียงมือถือที่ฟากกระโน้นดังขึ้น
ก็เหมือนเราๆที่มักตาสว่าง เจ้าสองตัวสะดุ้งขึ้นพร้อมกันและก็ถูกหนีบอยู่ตรงซอกกะแร้นั่นแหละ "โอ้ะโอ๋..เจ้าตัวน้อย
นี่ไม่ได้รู้เรื่องเลยเชียวรึ นี่เจ้าป่านะจ้ะ" ..."โอย ท่านผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวงข้าพเจ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย"
"เอาเถอะยกให้ครั้ง รีบไปซะ" "เป็นพระคุณยิ่งหากตอบแทนได้ถ้าท่านมีภัยโปรดเรียกแล้วข้าพเจ้าจักมาโดยพลัน" "ฮ่าๆ เจ้าตัว
น้อย..อย่างเจ้า..อย่างข้าฯ.. อย่ามาทำตีเสมอ รีบๆเลย ยิ่งไกลยิ่งดี" นีแหละเจ้าแห่งสัตว์ป่านิสัยไม่ได้เคยนึกว่าจะเสียทีใคร ก็จน
เผลอเดินไปติดบ่วงนายพรานเข้านั่นแหละ ไม่รู้ว่าร้องหรือคำรามให้ลั่นทุ่ง คงทำบุญไว้เยอะ เจ้าตัวจ้อยได้ยินเข้าก็รีบวางมือจากงาน จู้ดเดียวถึง
เชือกมะนิลาเส้นใหญ่หรือจะทานทนฟันน้องหนู
แล้วนั่นจึงได้รู้ว่ากระทั่งเจ้าป่าก็ยังทำอะไรกับไอ้แค่เส้นเชือกไม่ได้ หนูน่ะนะจะบอกให้ กับไอ้เรื่อง..อีช่างแทะนี้นะ
ญี่ปุ่นเวียนหัวกับมันมากๆเลย เคยถึงกับผสมตะไคร้กระเทียมลงไปในเปลือกหุ้มสายไฟฟ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าเจอไซแอมมีสไซแอมเม้าสเข้าจะเกิดอะไร
ขึ้นนะ แต่ก็ได้ยินว่ามาสด้าโครโนสกลัวหนูไทยที่สุด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าหมิ่นผู้ต่ำต้อยกว่า วันหนึ่งเราอาจต้องพึ่งเขา ชีวิตต้องพึ่งพากัน